Custom Search

Search This Blog

Thursday, October 22, 2020

วิเคราะห์กลุ่มการเมืองต่างๆ กับสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย

 คนนี้ไม่รู้ใคร แต่น่าจะวิเคราะห์ได้ใกล้ความจริงมาก

🔴ใครวิเคราะห์ไม่ทราบ น่าอ่าน

Who am I? Who are you? Who are we? 

ทำเพจมาหลายปีไม่เคยมีสักครั้งที่จะเขียนเรื่องการเมือง ลังเลอยู่นานแต่ครั้งนี้ขอออกมาแบ่งปันมุมมองของตัวเองต่อกลุ่มการเมืองกลุ่มต่างๆตามที่เข้าใจและเก็บข้อมูลมา อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่เหตุผลที่อยากแชร์เพราะอยากให้ช่องว่างทางความคิดมันลดลง เข้าใจแบคกราวหรือเหตุผลของฝ่ายที่เห็นต่างกันบ้าง ก่อนที่มันจะลึกจนแตกร้าวถึงระดับสถาบันครอบครัว เห็นข่าวหลายครอบครัวพ่อแม่ไล่ลูกออกจากบ้านแล้ว กิฟอยากให้บ้านคือเซฟโซนไม่ว่ามุมมองของเราจะต่างกันยังไงเอาล่ะ เริ่ม! 

กลุ่มที่ 1. รักรัฐบาลและรักสถาบันกษัตริย์ รักแบบ #ถ้าเค้าจะรักทำผิดยังไงเค้าก็รัก กลุ่มนี้หลักๆมาจากกลุ่มที่ไม่ชอบคนเสื้อแดง ผ่านความโหดร้ายของยุคสงครามสีเสื้อ ก้าวข้ามผ่านยุคทักษิณมา แน่นอนเป็น กปปส เก่า และต้องใช้คำว่า 'โล่งใจ' ที่ประยุทธ์รัฐประหารเพื่อทำให้สงครามสีเสื้อจบลงไปได้ ประเทศมีความสงบ มูฟออนทางเศรษฐกิจกันได้อีกรอบ รักประยุทธ์เพราะจงรักภักดีกับสถาบันกษัตริย์ ดูเนชั่นฟังกนกและยังเชียร์ลุงกำนัล กลุ่มนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากนอกจากอธิษฐานให้ลุงตู่เป็นนายกตลอดไป 

กลุ่มที่ 2. ถึงจะไม่ชอบรัฐบาล แต่รักสถาบันกษัตริย์ กลุ่มนี้มองว่านักการเมืองไม่มีใครดี วนมาแล้วก็วนไป เลือกตั้งใหม่ก็แบบเดิม แต่ราชวงศ์สิเที่ยงแท้เพราะดูแลประชาชนและสร้างชาติรวมแผ่นดินมาถึงปัจจุบัน เติบโตมากับบุญคุณของสถาบันกษัตริย์และความดีงามของโครงการหลวง การทรงงานหนัก ความทุรกันดารที่รัชกาลองค์ก่อนบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปหาประชาชน ยังเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์และสานต่อความรักความศรัทธาไปถึงราชวงศ์ทุกพระองค์ รักตั้งแต่ ร.๑ จะมีถึง ร.๒๐ ก็จะรักไม่เสื่อมคลาย กลุ่มนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามแต่ต้องไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่คู่ชาติไทยตราบชั่วฟ้าดินสลาย ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

2.1 กลุ่มนี้เป็นซับเซ็ตของกลุ่ม 2 รักและเทิดทูนรัชกาลที่ ๙ แต่อาจจะเฉยๆกับราชวงศ์องค์ที่เหลือ หรือเรียกแบบแฟนคลับเกาหลีว่า คีพเมนไม่คีพวง  กลุ่มนี้แม้จะรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนมาก แต่ก็แอบเม้ามอยความรุงรังมุนินมุตาสถาปนาปลดเข้าปลดออกของพระสนมพระมเหสี ไม่ชอบใจในราชวงศ์บ้าง เบื่อการปิดถนนขบวนเสด็จบ้าง มองบนเวลาเอาภาษีไปบินไปกลับ bkk-munich เล่นๆบ้าง แต่โดยรวมคือยังอดทนไหวและให้อภัย เรียกได้ว่าความรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนช่วยเซฟเอาไว้ได้เยอะ

กลุ่มที่ 3. เกลียดรัฐบาลและต้องการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ นี่คือกลุ่มที่เป็นที่มาของม็อบ ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน พูดให้เห็นภาพคือเกรต้า ธันเบิร์กเวอร์ชั่นไทยแลนด์ ออกมาด่าผู้ใหญ่ไล่รัฐบาลเพราะห่วงอนาคตตัวเองในอีก 5-10 ปีข้างหน้า กลัวประเทศพังจนไม่เหลืออะไรในยุคตัวเอง เด็กกลุ่มนี้ไม่ยึดมั่นในตัวบุคคลแต่มองที่อุดมการณ์เป็นหลัก ผู้ใหญ่ชอบคิดว่าโดนคนยุแยงโดนนักการเมืองปั่นหัวแต่จริงๆเด็กกลุ่มนี้ก้าวข้ามทักษิณ ธนาธรไปตั้งนานแล้ว ทุกคนอินและเทคแอคชั่นเพราะมองว่าการเมืองคือเรื่องของทุกคน และการเปลี่ยนแปลงวันนี้มีผลกับอนาคตที่ดีขึ้นของพวกเขา

กลุ่มนี้ต้องการขับไล่ประยุทธ์เพราะเป็นนายกที่มาจากรัฐประหาร ชนะเลือกตั้งด้วยการแก้กฎหมายแก้รัฐธรรมนูญเอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเอง เช่น มี สว เข้ามาช่วยโหวต เหนือกว่าความช่วยเหลือจากพวกพ้องคือนายกไม่มีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศได้ เศรษฐกิจพัง ประเทศเดินถอยหลัง ให้โอกาสมา 6 ปีแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น 

ส่วนแนวคิดที่อยากปฎิรูปสถาบันกษัตริย์เพราะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม เพราะแม้สถาบันกษัตริย์จะอยู่เหนือการเมืองบนรัฐธรรมนูญ แต่ความเป็นจริงคือสามารถใช้อำนาจชี้เป็นชี้ตายทุกคนในประเทศได้ ห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามสงสัยทุกอย่าง แล้วในขณะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานค่อนประเทศ แต่เงินภาษีก็ยังถูกใช้อย่างไม่เห็นความลำบากของประชาชน ลำพังแค่ค่ารถนำขบวนเข้าออกสนามบินมิวนิคก็สูงถึง 2 แสนยูโรแล้วภายใน 6 เดือน เค้ามองว่าเงินจำนวนนี้นำไปพัฒนาโรงพยาบาล ระบบขนส่งมวลชน พี่ตูนไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปอีกหลายปี 

คนกลุ่มนี้บางคนไม่เชื่อและไม่ศรัทธากับสถาบันกษัตริย์ตั้งแต่ต้นดังนั้นพูดอะไรไปก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเขาได้ แต่ที่น่าแปลกใจและตกใจคือมีคนจำนวนมากที่เคยเป็นกลุ่ม 2 หรือแม้แต่ 2.1 แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นกลุ่มนี้เพราะผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า 'การเบิกเนตร' มา 

เบิกเนตรเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่เคยศรัทธาสถาบันกษัตริย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลก่อน) แต่เริ่มตั้งคำถามและหาคำตอบจากแหล่งต่างๆด้วยตัวเองจนคิดว่าสิ่งที่เคยเชื่อ เคยได้รับการบอกเล่ามาตลอดชีวิตเป็นสิ่งไม่จริง ตย.ของเรื่อง (ที่คาดว่า) ทำให้คนเบิกเนตรมีมากมาย ถ้าใครอยากรู้ก็ลองไปค้นหาอ่านได้ไม่ยากเกินกำลังเพราะถ้าลงโพสจะยาวไปถึงพรุ่งนี้ แต่หัวข้อนึงที่มีการถกกันอย่างกว้างขวางคือ ถ้าสิ่งที่สถาบันกษัตริย์ทำมีแต่ความดี ทำเพื่อประชาชนมาตลอดจริงๆอย่างที่รับรู้มาตลอด 60 ปีเหตุใดจึงต้องกลัวการวิจารณ์ เหตุใดการพูดถึงจึงผิดกฎหมาย เหตุใดจึงต้องใช้ ม.112 เพื่อควบคุมประชาชน

ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเรียกร้องให้เกิดการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์แบบราชวงศ์อังกฤษที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตั้งคำถามถึงการใช้จ่ายภาษีถ้าไม่ถูกต้องได้ รวมถึงยกสถาบันกษัตริย์ให้อยู่เหนือกฎหมายและละเว้นจากการเมืองอย่างแท้จริง 

คนกลุ่มนี้มีแนวคิดที่เกี่ยวกับสถาบันฯต่างเลเวลกัน ส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดที่จะมีระบอบการปกครองแบบเดิมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ก็มีไม่น้อยที่มองเห็นว่าประมุของค์ปัจจุบันไม่อยู่ประเทศไทย และยังมีข่าวเรื่องการใช้จ่ายภาษีมหาศาลจึงมีแนวคิดถึงระบอบสาธารณรัฐตามข่าวที่เราได้ยินกันมา จริงๆแล้วคนที่อยากเปลี่ยนไปถึงระบอบสาธารณรัฐไม่ค่อยกล้าพูดหรือออกตัวแรงมาก แต่เมื่อรัฐเริ่มใช้ความรุนแรงกับม็อบมือเปล่าและตัดสิทธิพื้นฐานในการแสดงออก เลยยิ่งทำให้คนเกลียดชังระบอบเดิมและยิ่งเพิ่มจำนวนคนที่คิดถึงระบอบนี้มากยิ่งขึ้น

คน 3 กลุ่มนี้มีแนวคิดที่แตกต่างและเริ่มห่างกันเรื่อยๆ คนไทย 70 ล้านคนอยู่ใน 3 กลุ่มนี้แหละ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่ไบแอส ไม่อยู่กลุ่มไหนเลยคือบูลชิต เป็นกลางไม่มีจริงในบริบทนี้ มีแค่ยอมรับและกล้าแสดงออกมาหรือไม่เท่านั้น 

มีโอกาสที่จะเปลี่ยนคนกลุ่ม 3 ไปเป็นกลุ่ม 2 หรือ 2.1 ได้อีกไหม? คำตอบคือยากมากกกก ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้แล้วเผลอๆจะมีคนกลุ่ม 2 ย้ายมาเป็นกลุ่ม 3 มากขึ้นด้วยซ้ำถ้ายังใช้ความรุนแรงและขูดรีดภาษีไปเรื่อยๆในขณะที่ประชาชนอดอยาก กลุ่ม 3 เค้าไม่ได้เติบโตมากับข่าว 2 ทุ่ม เค้าหาข้อมูลหลายทาง ตั้งคำถามและหาคำตอบกับทุกอย่างที่เค้าอยากรู้ เค้าไม่ได้อินกับสิ่งที่คนกลุ่ม 1 กลุ่ม 2 ศรัทธา ดังนั้นการบังคับให้เค้าศรัทธา เช่น การยืนในโรงหนังจึงใช้กับพวกเค้าไม่ได้อีกแล้ว 

ทางจบของวิกฤตินี้คือต้องเจรจากันอย่างเดียว ให้ทุกฝ่ายมีทางลง ม็อบไม่มีทางได้ทุกข้อ และรัฐบาลไม่มีทางปราบไปเรื่อยๆโดยหวังลมๆแล้งๆว่าทุกอย่างจะสงบและกลับไปเป็นเหมือนเดิม

รัฐบาลและทุกคนต้องยอมรับอย่างนึงว่าประเทศไทยไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง และความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้อีกอย่างคือแม้สองเลขนี้จะมาต่อกัน แต่ ๙ กับ ๑๐ ก็ยัง...เป็นคนละเลขกันอยู่ดี 

ปล. ถึงจะเห็นต่างแต่คน 3 กลุ่มนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นวงโคจรของสังคมที่เราอยู่ คนเหล่านี้เป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่เราแคร์ การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงแต่สายสัมพันธ์ระหว่างเรายังต้องแข็งแรง ถ้ามีโมเม้นท์ที่โกรธในชุดความคิดของเค้ามากๆ อย่าลืมนึกถึงมิตรภาพ นึกถึงความดีของคนรอบตัวเราให้มากๆนะคะ ♥️

เราจะผ่านมันไปได้...แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไรและด้วยวิธีไหนก็ตาม

#VacayASAP

------------------------------------------------------------------------------