Custom Search

Search This Blog

Thursday, October 29, 2020

คำถามถึงผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์


คำถามถึงผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

วันนี้ ผมดีใจนะครับ ที่มีกลุ่มคนไทยส่วนหนึ่งออกมาแสดงตัวว่าเป็นกลุ่มที่อยากปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะผมเองก็ยังคิดว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” มีความสำคัญต่อ “ประเทศไทย” และควรที่จะ “ต้องมีและรักษาให้คงอยู่ตลอดไป” เพราะผมเห็นหลายประเทศที่เคยมี “สถาบันพระมหากษัตริย์” มาก่อน แต่วันนี้ “ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์” แล้ว และประชาชนในประเทศเหล่านั้นต่างเสียดายที่สูญเสีย “สถาบันพระมหากษัตริย์” ไป จนไม่สามารถจะสถาปนาให้กลับมาได้อีก

แต่ผมมีคำถามอยากจะถามคนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” สักหน่อยครับ

คำถามแรก คือ คำว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ท่านอยากปกป้องนั้น คืออะไรกันแน่ ระหว่าง

(1)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เป็น “องค์กร”

(2)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่หมายถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” และ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ”

(3)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่หมายถึง “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน”

ที่ถามเช่นนั้น เพราะแต่ละคำตอบมีนัยยะที่ต่างกันมาก และทุกวันนี้ เราอยู่ในรัชสมัยของ ““ในหลวงรัชกาลที่ 10” แล้ว แต่ผมเห็นคนที่ออกมาแสดงออก ต่างก็พูดถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” บ้าง “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” บ้าง ที่ทั้งสองพระองค์ ได้ทรง “ทรงงาน” อย่างต่อเนื่องมาช้านาน บ้างก็พูดถึง “คุณความดี” ของ “พระพระมหากษัตริย์” ในรัชกาลก่อนๆ โดยไม่ยอมพูดถึง “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” เลย

คำถามที่สอง คือ คนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” รู้ไหมครับว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เป็น “องค์กร”  ในสมัย “ในหลวงรัชกาลที่ 9” กับ “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” มันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปในเชิง “โครงสร้าง” คือ

(1)     “สมบัติชาติ” ที่เคยอยู่ในรูปของ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “ทรัพยฺสินส่วนพระองค์” ของ “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ไปแล้ว

(2)     “ทหารรักษาพระองค์” ที่เคยเป็น “ทหารของชาติ” ที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศและ “อารักขา” พระมหากษัตริย์ วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “ทหารส่วนพระองค์” ไปแล้ว

(3)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงประทับอยู่ “ในราชอาณาจักร” เป็น “ปกติ” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “พระมหากษัตริย์” ที่ประทับอยู่ “นอกราชอาณาจักร” ตาม “พระราชอัธยาศัย” ไปแล้ว

(4)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงเสด็จเยี่ยมเยียน “พสกนิกร” ในราชอาณาจักร อยู่เป็นนิจ วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “พระมหากษัตริย์” ที่ไม่เคยเสด็จเยี่ยมเยียน “พสกนิกร” ในราชอาณาจักร เลย ไปแล้ว

(5)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงเสด็จเยี่ยมเยียน “มิตรประเทศ” โดยเฉพาะประเทศที่มีการปกครองในระบอบ “กษัตริย์” ในช่วงแรกของการสถาปนาขึ้นครองราชย์ จวบจนวันนี้ เป็นเวลากว่า 6 ปี “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ยังไม่เคย “เสด็จเยี่ยมเยียน “มิตรประเทศ” ใดเลย”

(6)     “งบประมาณ” สำหรับ “พระมหากษัตริย์” ที่เคยจัดสรรอย่าง “พอเพียง” ตามพระราโชบายของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “งบประมาณ” ที่ “เพียงพอ” ต่อพระราชประสงค์ของ ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ไปแล้ว

(7)     “พระมหากษัตริย์” ในรัชกาลก่อนๆ เคยทรงดำรงพระองค์ตาม “พระราชประเพณี” แต่วันนี้  “พระมหากษัตริย์” ทรงดำรงพระองค์ตาม “พระราชอัธยาศัย” ไปแล้ว

(8)     ฯลฯ

คำถามที่สาม สอง คือ เมื่อ “โครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ได้เปลี่ยนไปแล้วข้างต้น คนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ยังอยากให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็นไปตาม “พระราชอัธยาศัย” ดังกล่าวหรือ

คำถามสุดท้ายครับ คือ วันนี้ คุณ “อคติ” กับเด็กนักเรียน นิสิต และนักศึกษาหรือเปล่า

ผมไม่เชื่อว่าเด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่ออกมาเรียกร้องดังกล่าวเป็นพวก "ชังชาติ" "เนรคุณแผ่นดิน" และ “ต้องการจะล้มเจ้า” อย่างที่ถูกกล่าวหา

ผมเชื่อว่า ถ้าเรา “ตัดกระพี้ ความมันปาก ความก้าวร้าว และความอคติ” ออกไป แล้วใช้สติและความใจกว้าง พินิจ พิจารณา ด้วยเหตุผล จะพบว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพวก "ชังชาติ" "เนรคุณแผ่นดิน" และ “ต้องการจะล้มเจ้า” อย่างที่ผู้ใหญ่หลายๆกลุ่มคิดแต่อย่างใด

ทั้งหมดทั้งสิ้น มันคือความ “อคติ” “ความใจแคบ” “ขาดสติ” “ไร้เหตุผล” และ “ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสิน” ชองเราใช่หรือไม่

อย่าผลักไส ไล่ล่าพวกเขาไปจนมุมของความ "ชังชาติ" ที่กำลังมองคนรุ่นใหม่เป็นศัตรู เพราะเพียงแค่เขาคิดไม่เหมือนเรา หรือ (อาจคิดเหมือน แต่) ทำไม่เหมือนเรา แล้วก็ลุกขึ้นมารุมประณามพวกเขา

จงเปิดใจให้กว้างกับลูกหลานเราเถอะครับ เปิดพื้นที่ให้เขา เปิดเวทีให้เขา ให้เขาพูด และรับฟังเขา คุยกันด้วยผล อย่างมีสติ มีเมตตา จริงใจต่อกัน ทำความเข้าใจกัน และหาข้อยุติร่วมกัน

ผมชอบอักษรจีนเดิมครับ ในคำว่า “ชาติ” ประกอบด้วยของ 3 สิ่ง คือ “แผ่นดิน อำนาจ (อธิปไตย) และประชาชน” ที่แยกกันไม่ได้

หยุด “อคติ” กับลูกหลานของเราเถอะครับ (เพราะเขาเป็น “ประชาชน” และเป็นส่วนหนึ่งของชาติเรา) แล้วมาหาทางออกร่วมกัน เพื่อ “ชาติ” ของเราไงครับ ถ้าเราทุกคน “รักชาติ” จริง

---------------------------------------------------------------------------------------------

Thursday, October 22, 2020

วิเคราะห์กลุ่มการเมืองต่างๆ กับสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย

 คนนี้ไม่รู้ใคร แต่น่าจะวิเคราะห์ได้ใกล้ความจริงมาก

🔴ใครวิเคราะห์ไม่ทราบ น่าอ่าน

Who am I? Who are you? Who are we? 

ทำเพจมาหลายปีไม่เคยมีสักครั้งที่จะเขียนเรื่องการเมือง ลังเลอยู่นานแต่ครั้งนี้ขอออกมาแบ่งปันมุมมองของตัวเองต่อกลุ่มการเมืองกลุ่มต่างๆตามที่เข้าใจและเก็บข้อมูลมา อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่เหตุผลที่อยากแชร์เพราะอยากให้ช่องว่างทางความคิดมันลดลง เข้าใจแบคกราวหรือเหตุผลของฝ่ายที่เห็นต่างกันบ้าง ก่อนที่มันจะลึกจนแตกร้าวถึงระดับสถาบันครอบครัว เห็นข่าวหลายครอบครัวพ่อแม่ไล่ลูกออกจากบ้านแล้ว กิฟอยากให้บ้านคือเซฟโซนไม่ว่ามุมมองของเราจะต่างกันยังไงเอาล่ะ เริ่ม! 

กลุ่มที่ 1. รักรัฐบาลและรักสถาบันกษัตริย์ รักแบบ #ถ้าเค้าจะรักทำผิดยังไงเค้าก็รัก กลุ่มนี้หลักๆมาจากกลุ่มที่ไม่ชอบคนเสื้อแดง ผ่านความโหดร้ายของยุคสงครามสีเสื้อ ก้าวข้ามผ่านยุคทักษิณมา แน่นอนเป็น กปปส เก่า และต้องใช้คำว่า 'โล่งใจ' ที่ประยุทธ์รัฐประหารเพื่อทำให้สงครามสีเสื้อจบลงไปได้ ประเทศมีความสงบ มูฟออนทางเศรษฐกิจกันได้อีกรอบ รักประยุทธ์เพราะจงรักภักดีกับสถาบันกษัตริย์ ดูเนชั่นฟังกนกและยังเชียร์ลุงกำนัล กลุ่มนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากนอกจากอธิษฐานให้ลุงตู่เป็นนายกตลอดไป 

กลุ่มที่ 2. ถึงจะไม่ชอบรัฐบาล แต่รักสถาบันกษัตริย์ กลุ่มนี้มองว่านักการเมืองไม่มีใครดี วนมาแล้วก็วนไป เลือกตั้งใหม่ก็แบบเดิม แต่ราชวงศ์สิเที่ยงแท้เพราะดูแลประชาชนและสร้างชาติรวมแผ่นดินมาถึงปัจจุบัน เติบโตมากับบุญคุณของสถาบันกษัตริย์และความดีงามของโครงการหลวง การทรงงานหนัก ความทุรกันดารที่รัชกาลองค์ก่อนบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปหาประชาชน ยังเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์และสานต่อความรักความศรัทธาไปถึงราชวงศ์ทุกพระองค์ รักตั้งแต่ ร.๑ จะมีถึง ร.๒๐ ก็จะรักไม่เสื่อมคลาย กลุ่มนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามแต่ต้องไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่คู่ชาติไทยตราบชั่วฟ้าดินสลาย ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

2.1 กลุ่มนี้เป็นซับเซ็ตของกลุ่ม 2 รักและเทิดทูนรัชกาลที่ ๙ แต่อาจจะเฉยๆกับราชวงศ์องค์ที่เหลือ หรือเรียกแบบแฟนคลับเกาหลีว่า คีพเมนไม่คีพวง  กลุ่มนี้แม้จะรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนมาก แต่ก็แอบเม้ามอยความรุงรังมุนินมุตาสถาปนาปลดเข้าปลดออกของพระสนมพระมเหสี ไม่ชอบใจในราชวงศ์บ้าง เบื่อการปิดถนนขบวนเสด็จบ้าง มองบนเวลาเอาภาษีไปบินไปกลับ bkk-munich เล่นๆบ้าง แต่โดยรวมคือยังอดทนไหวและให้อภัย เรียกได้ว่าความรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนช่วยเซฟเอาไว้ได้เยอะ

กลุ่มที่ 3. เกลียดรัฐบาลและต้องการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ นี่คือกลุ่มที่เป็นที่มาของม็อบ ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน พูดให้เห็นภาพคือเกรต้า ธันเบิร์กเวอร์ชั่นไทยแลนด์ ออกมาด่าผู้ใหญ่ไล่รัฐบาลเพราะห่วงอนาคตตัวเองในอีก 5-10 ปีข้างหน้า กลัวประเทศพังจนไม่เหลืออะไรในยุคตัวเอง เด็กกลุ่มนี้ไม่ยึดมั่นในตัวบุคคลแต่มองที่อุดมการณ์เป็นหลัก ผู้ใหญ่ชอบคิดว่าโดนคนยุแยงโดนนักการเมืองปั่นหัวแต่จริงๆเด็กกลุ่มนี้ก้าวข้ามทักษิณ ธนาธรไปตั้งนานแล้ว ทุกคนอินและเทคแอคชั่นเพราะมองว่าการเมืองคือเรื่องของทุกคน และการเปลี่ยนแปลงวันนี้มีผลกับอนาคตที่ดีขึ้นของพวกเขา

กลุ่มนี้ต้องการขับไล่ประยุทธ์เพราะเป็นนายกที่มาจากรัฐประหาร ชนะเลือกตั้งด้วยการแก้กฎหมายแก้รัฐธรรมนูญเอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเอง เช่น มี สว เข้ามาช่วยโหวต เหนือกว่าความช่วยเหลือจากพวกพ้องคือนายกไม่มีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศได้ เศรษฐกิจพัง ประเทศเดินถอยหลัง ให้โอกาสมา 6 ปีแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น 

ส่วนแนวคิดที่อยากปฎิรูปสถาบันกษัตริย์เพราะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม เพราะแม้สถาบันกษัตริย์จะอยู่เหนือการเมืองบนรัฐธรรมนูญ แต่ความเป็นจริงคือสามารถใช้อำนาจชี้เป็นชี้ตายทุกคนในประเทศได้ ห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามสงสัยทุกอย่าง แล้วในขณะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานค่อนประเทศ แต่เงินภาษีก็ยังถูกใช้อย่างไม่เห็นความลำบากของประชาชน ลำพังแค่ค่ารถนำขบวนเข้าออกสนามบินมิวนิคก็สูงถึง 2 แสนยูโรแล้วภายใน 6 เดือน เค้ามองว่าเงินจำนวนนี้นำไปพัฒนาโรงพยาบาล ระบบขนส่งมวลชน พี่ตูนไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปอีกหลายปี 

คนกลุ่มนี้บางคนไม่เชื่อและไม่ศรัทธากับสถาบันกษัตริย์ตั้งแต่ต้นดังนั้นพูดอะไรไปก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเขาได้ แต่ที่น่าแปลกใจและตกใจคือมีคนจำนวนมากที่เคยเป็นกลุ่ม 2 หรือแม้แต่ 2.1 แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นกลุ่มนี้เพราะผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า 'การเบิกเนตร' มา 

เบิกเนตรเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่เคยศรัทธาสถาบันกษัตริย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลก่อน) แต่เริ่มตั้งคำถามและหาคำตอบจากแหล่งต่างๆด้วยตัวเองจนคิดว่าสิ่งที่เคยเชื่อ เคยได้รับการบอกเล่ามาตลอดชีวิตเป็นสิ่งไม่จริง ตย.ของเรื่อง (ที่คาดว่า) ทำให้คนเบิกเนตรมีมากมาย ถ้าใครอยากรู้ก็ลองไปค้นหาอ่านได้ไม่ยากเกินกำลังเพราะถ้าลงโพสจะยาวไปถึงพรุ่งนี้ แต่หัวข้อนึงที่มีการถกกันอย่างกว้างขวางคือ ถ้าสิ่งที่สถาบันกษัตริย์ทำมีแต่ความดี ทำเพื่อประชาชนมาตลอดจริงๆอย่างที่รับรู้มาตลอด 60 ปีเหตุใดจึงต้องกลัวการวิจารณ์ เหตุใดการพูดถึงจึงผิดกฎหมาย เหตุใดจึงต้องใช้ ม.112 เพื่อควบคุมประชาชน

ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเรียกร้องให้เกิดการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์แบบราชวงศ์อังกฤษที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตั้งคำถามถึงการใช้จ่ายภาษีถ้าไม่ถูกต้องได้ รวมถึงยกสถาบันกษัตริย์ให้อยู่เหนือกฎหมายและละเว้นจากการเมืองอย่างแท้จริง 

คนกลุ่มนี้มีแนวคิดที่เกี่ยวกับสถาบันฯต่างเลเวลกัน ส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดที่จะมีระบอบการปกครองแบบเดิมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ก็มีไม่น้อยที่มองเห็นว่าประมุของค์ปัจจุบันไม่อยู่ประเทศไทย และยังมีข่าวเรื่องการใช้จ่ายภาษีมหาศาลจึงมีแนวคิดถึงระบอบสาธารณรัฐตามข่าวที่เราได้ยินกันมา จริงๆแล้วคนที่อยากเปลี่ยนไปถึงระบอบสาธารณรัฐไม่ค่อยกล้าพูดหรือออกตัวแรงมาก แต่เมื่อรัฐเริ่มใช้ความรุนแรงกับม็อบมือเปล่าและตัดสิทธิพื้นฐานในการแสดงออก เลยยิ่งทำให้คนเกลียดชังระบอบเดิมและยิ่งเพิ่มจำนวนคนที่คิดถึงระบอบนี้มากยิ่งขึ้น

คน 3 กลุ่มนี้มีแนวคิดที่แตกต่างและเริ่มห่างกันเรื่อยๆ คนไทย 70 ล้านคนอยู่ใน 3 กลุ่มนี้แหละ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่ไบแอส ไม่อยู่กลุ่มไหนเลยคือบูลชิต เป็นกลางไม่มีจริงในบริบทนี้ มีแค่ยอมรับและกล้าแสดงออกมาหรือไม่เท่านั้น 

มีโอกาสที่จะเปลี่ยนคนกลุ่ม 3 ไปเป็นกลุ่ม 2 หรือ 2.1 ได้อีกไหม? คำตอบคือยากมากกกก ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้แล้วเผลอๆจะมีคนกลุ่ม 2 ย้ายมาเป็นกลุ่ม 3 มากขึ้นด้วยซ้ำถ้ายังใช้ความรุนแรงและขูดรีดภาษีไปเรื่อยๆในขณะที่ประชาชนอดอยาก กลุ่ม 3 เค้าไม่ได้เติบโตมากับข่าว 2 ทุ่ม เค้าหาข้อมูลหลายทาง ตั้งคำถามและหาคำตอบกับทุกอย่างที่เค้าอยากรู้ เค้าไม่ได้อินกับสิ่งที่คนกลุ่ม 1 กลุ่ม 2 ศรัทธา ดังนั้นการบังคับให้เค้าศรัทธา เช่น การยืนในโรงหนังจึงใช้กับพวกเค้าไม่ได้อีกแล้ว 

ทางจบของวิกฤตินี้คือต้องเจรจากันอย่างเดียว ให้ทุกฝ่ายมีทางลง ม็อบไม่มีทางได้ทุกข้อ และรัฐบาลไม่มีทางปราบไปเรื่อยๆโดยหวังลมๆแล้งๆว่าทุกอย่างจะสงบและกลับไปเป็นเหมือนเดิม

รัฐบาลและทุกคนต้องยอมรับอย่างนึงว่าประเทศไทยไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง และความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้อีกอย่างคือแม้สองเลขนี้จะมาต่อกัน แต่ ๙ กับ ๑๐ ก็ยัง...เป็นคนละเลขกันอยู่ดี 

ปล. ถึงจะเห็นต่างแต่คน 3 กลุ่มนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นวงโคจรของสังคมที่เราอยู่ คนเหล่านี้เป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่เราแคร์ การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงแต่สายสัมพันธ์ระหว่างเรายังต้องแข็งแรง ถ้ามีโมเม้นท์ที่โกรธในชุดความคิดของเค้ามากๆ อย่าลืมนึกถึงมิตรภาพ นึกถึงความดีของคนรอบตัวเราให้มากๆนะคะ ♥️

เราจะผ่านมันไปได้...แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไรและด้วยวิธีไหนก็ตาม

#VacayASAP

------------------------------------------------------------------------------

Tuesday, October 20, 2020

พวกรัฐบาลประยุทธ ใครพูดอะไรไว้ก่อนได้อำนาจ ดูหน้าพวกนี้เอาไว้ สับปลับขนาดไหน

 

พวกรัฐบาลประยุทธ ใครพูดอะไรไว้ก่อนได้อำนาจ ดูหน้าพวกนี้เอาไว้ สับปลับขนาดไหน

ประวิตร วงษ์สุวรรณ / หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ​

อนุทิน ชาญวีรกูล / หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ / หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

สุเทพ เทือกสุบรรณ / สมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย


https://youtu.be/4gU9PUl5-c8

------------------------------------------------------------------------------------