Custom Search

Search This Blog

Thursday, October 29, 2020

คำถามถึงผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์


คำถามถึงผู้ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

วันนี้ ผมดีใจนะครับ ที่มีกลุ่มคนไทยส่วนหนึ่งออกมาแสดงตัวว่าเป็นกลุ่มที่อยากปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะผมเองก็ยังคิดว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” มีความสำคัญต่อ “ประเทศไทย” และควรที่จะ “ต้องมีและรักษาให้คงอยู่ตลอดไป” เพราะผมเห็นหลายประเทศที่เคยมี “สถาบันพระมหากษัตริย์” มาก่อน แต่วันนี้ “ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์” แล้ว และประชาชนในประเทศเหล่านั้นต่างเสียดายที่สูญเสีย “สถาบันพระมหากษัตริย์” ไป จนไม่สามารถจะสถาปนาให้กลับมาได้อีก

แต่ผมมีคำถามอยากจะถามคนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” สักหน่อยครับ

คำถามแรก คือ คำว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่ท่านอยากปกป้องนั้น คืออะไรกันแน่ ระหว่าง

(1)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เป็น “องค์กร”

(2)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่หมายถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” และ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ”

(3)     “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่หมายถึง “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน”

ที่ถามเช่นนั้น เพราะแต่ละคำตอบมีนัยยะที่ต่างกันมาก และทุกวันนี้ เราอยู่ในรัชสมัยของ ““ในหลวงรัชกาลที่ 10” แล้ว แต่ผมเห็นคนที่ออกมาแสดงออก ต่างก็พูดถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9” บ้าง “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” บ้าง ที่ทั้งสองพระองค์ ได้ทรง “ทรงงาน” อย่างต่อเนื่องมาช้านาน บ้างก็พูดถึง “คุณความดี” ของ “พระพระมหากษัตริย์” ในรัชกาลก่อนๆ โดยไม่ยอมพูดถึง “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” เลย

คำถามที่สอง คือ คนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” รู้ไหมครับว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” ที่เป็น “องค์กร”  ในสมัย “ในหลวงรัชกาลที่ 9” กับ “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” มันมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปในเชิง “โครงสร้าง” คือ

(1)     “สมบัติชาติ” ที่เคยอยู่ในรูปของ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “ทรัพยฺสินส่วนพระองค์” ของ “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ไปแล้ว

(2)     “ทหารรักษาพระองค์” ที่เคยเป็น “ทหารของชาติ” ที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศและ “อารักขา” พระมหากษัตริย์ วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “ทหารส่วนพระองค์” ไปแล้ว

(3)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงประทับอยู่ “ในราชอาณาจักร” เป็น “ปกติ” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “พระมหากษัตริย์” ที่ประทับอยู่ “นอกราชอาณาจักร” ตาม “พระราชอัธยาศัย” ไปแล้ว

(4)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงเสด็จเยี่ยมเยียน “พสกนิกร” ในราชอาณาจักร อยู่เป็นนิจ วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “พระมหากษัตริย์” ที่ไม่เคยเสด็จเยี่ยมเยียน “พสกนิกร” ในราชอาณาจักร เลย ไปแล้ว

(5)     “พระมหากษัตริย์” ที่เคยทรงเสด็จเยี่ยมเยียน “มิตรประเทศ” โดยเฉพาะประเทศที่มีการปกครองในระบอบ “กษัตริย์” ในช่วงแรกของการสถาปนาขึ้นครองราชย์ จวบจนวันนี้ เป็นเวลากว่า 6 ปี “ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ยังไม่เคย “เสด็จเยี่ยมเยียน “มิตรประเทศ” ใดเลย”

(6)     “งบประมาณ” สำหรับ “พระมหากษัตริย์” ที่เคยจัดสรรอย่าง “พอเพียง” ตามพระราโชบายของ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” วันนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “งบประมาณ” ที่ “เพียงพอ” ต่อพระราชประสงค์ของ ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน” ไปแล้ว

(7)     “พระมหากษัตริย์” ในรัชกาลก่อนๆ เคยทรงดำรงพระองค์ตาม “พระราชประเพณี” แต่วันนี้  “พระมหากษัตริย์” ทรงดำรงพระองค์ตาม “พระราชอัธยาศัย” ไปแล้ว

(8)     ฯลฯ

คำถามที่สาม สอง คือ เมื่อ “โครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์” ได้เปลี่ยนไปแล้วข้างต้น คนไทยกลุ่มที่อยากปกป้อง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ยังอยากให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็นไปตาม “พระราชอัธยาศัย” ดังกล่าวหรือ

คำถามสุดท้ายครับ คือ วันนี้ คุณ “อคติ” กับเด็กนักเรียน นิสิต และนักศึกษาหรือเปล่า

ผมไม่เชื่อว่าเด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่ออกมาเรียกร้องดังกล่าวเป็นพวก "ชังชาติ" "เนรคุณแผ่นดิน" และ “ต้องการจะล้มเจ้า” อย่างที่ถูกกล่าวหา

ผมเชื่อว่า ถ้าเรา “ตัดกระพี้ ความมันปาก ความก้าวร้าว และความอคติ” ออกไป แล้วใช้สติและความใจกว้าง พินิจ พิจารณา ด้วยเหตุผล จะพบว่าพวกเขาไม่ได้เป็นพวก "ชังชาติ" "เนรคุณแผ่นดิน" และ “ต้องการจะล้มเจ้า” อย่างที่ผู้ใหญ่หลายๆกลุ่มคิดแต่อย่างใด

ทั้งหมดทั้งสิ้น มันคือความ “อคติ” “ความใจแคบ” “ขาดสติ” “ไร้เหตุผล” และ “ใช้อารมณ์ความรู้สึกในการตัดสิน” ชองเราใช่หรือไม่

อย่าผลักไส ไล่ล่าพวกเขาไปจนมุมของความ "ชังชาติ" ที่กำลังมองคนรุ่นใหม่เป็นศัตรู เพราะเพียงแค่เขาคิดไม่เหมือนเรา หรือ (อาจคิดเหมือน แต่) ทำไม่เหมือนเรา แล้วก็ลุกขึ้นมารุมประณามพวกเขา

จงเปิดใจให้กว้างกับลูกหลานเราเถอะครับ เปิดพื้นที่ให้เขา เปิดเวทีให้เขา ให้เขาพูด และรับฟังเขา คุยกันด้วยผล อย่างมีสติ มีเมตตา จริงใจต่อกัน ทำความเข้าใจกัน และหาข้อยุติร่วมกัน

ผมชอบอักษรจีนเดิมครับ ในคำว่า “ชาติ” ประกอบด้วยของ 3 สิ่ง คือ “แผ่นดิน อำนาจ (อธิปไตย) และประชาชน” ที่แยกกันไม่ได้

หยุด “อคติ” กับลูกหลานของเราเถอะครับ (เพราะเขาเป็น “ประชาชน” และเป็นส่วนหนึ่งของชาติเรา) แล้วมาหาทางออกร่วมกัน เพื่อ “ชาติ” ของเราไงครับ ถ้าเราทุกคน “รักชาติ” จริง

---------------------------------------------------------------------------------------------

Thursday, October 22, 2020

วิเคราะห์กลุ่มการเมืองต่างๆ กับสถานการณ์การชุมนุมในประเทศไทย

 คนนี้ไม่รู้ใคร แต่น่าจะวิเคราะห์ได้ใกล้ความจริงมาก

🔴ใครวิเคราะห์ไม่ทราบ น่าอ่าน

Who am I? Who are you? Who are we? 

ทำเพจมาหลายปีไม่เคยมีสักครั้งที่จะเขียนเรื่องการเมือง ลังเลอยู่นานแต่ครั้งนี้ขอออกมาแบ่งปันมุมมองของตัวเองต่อกลุ่มการเมืองกลุ่มต่างๆตามที่เข้าใจและเก็บข้อมูลมา อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่เหตุผลที่อยากแชร์เพราะอยากให้ช่องว่างทางความคิดมันลดลง เข้าใจแบคกราวหรือเหตุผลของฝ่ายที่เห็นต่างกันบ้าง ก่อนที่มันจะลึกจนแตกร้าวถึงระดับสถาบันครอบครัว เห็นข่าวหลายครอบครัวพ่อแม่ไล่ลูกออกจากบ้านแล้ว กิฟอยากให้บ้านคือเซฟโซนไม่ว่ามุมมองของเราจะต่างกันยังไงเอาล่ะ เริ่ม! 

กลุ่มที่ 1. รักรัฐบาลและรักสถาบันกษัตริย์ รักแบบ #ถ้าเค้าจะรักทำผิดยังไงเค้าก็รัก กลุ่มนี้หลักๆมาจากกลุ่มที่ไม่ชอบคนเสื้อแดง ผ่านความโหดร้ายของยุคสงครามสีเสื้อ ก้าวข้ามผ่านยุคทักษิณมา แน่นอนเป็น กปปส เก่า และต้องใช้คำว่า 'โล่งใจ' ที่ประยุทธ์รัฐประหารเพื่อทำให้สงครามสีเสื้อจบลงไปได้ ประเทศมีความสงบ มูฟออนทางเศรษฐกิจกันได้อีกรอบ รักประยุทธ์เพราะจงรักภักดีกับสถาบันกษัตริย์ ดูเนชั่นฟังกนกและยังเชียร์ลุงกำนัล กลุ่มนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากนอกจากอธิษฐานให้ลุงตู่เป็นนายกตลอดไป 

กลุ่มที่ 2. ถึงจะไม่ชอบรัฐบาล แต่รักสถาบันกษัตริย์ กลุ่มนี้มองว่านักการเมืองไม่มีใครดี วนมาแล้วก็วนไป เลือกตั้งใหม่ก็แบบเดิม แต่ราชวงศ์สิเที่ยงแท้เพราะดูแลประชาชนและสร้างชาติรวมแผ่นดินมาถึงปัจจุบัน เติบโตมากับบุญคุณของสถาบันกษัตริย์และความดีงามของโครงการหลวง การทรงงานหนัก ความทุรกันดารที่รัชกาลองค์ก่อนบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปหาประชาชน ยังเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์และสานต่อความรักความศรัทธาไปถึงราชวงศ์ทุกพระองค์ รักตั้งแต่ ร.๑ จะมีถึง ร.๒๐ ก็จะรักไม่เสื่อมคลาย กลุ่มนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามแต่ต้องไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่คู่ชาติไทยตราบชั่วฟ้าดินสลาย ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

2.1 กลุ่มนี้เป็นซับเซ็ตของกลุ่ม 2 รักและเทิดทูนรัชกาลที่ ๙ แต่อาจจะเฉยๆกับราชวงศ์องค์ที่เหลือ หรือเรียกแบบแฟนคลับเกาหลีว่า คีพเมนไม่คีพวง  กลุ่มนี้แม้จะรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนมาก แต่ก็แอบเม้ามอยความรุงรังมุนินมุตาสถาปนาปลดเข้าปลดออกของพระสนมพระมเหสี ไม่ชอบใจในราชวงศ์บ้าง เบื่อการปิดถนนขบวนเสด็จบ้าง มองบนเวลาเอาภาษีไปบินไปกลับ bkk-munich เล่นๆบ้าง แต่โดยรวมคือยังอดทนไหวและให้อภัย เรียกได้ว่าความรักและศรัทธาในรัชกาลก่อนช่วยเซฟเอาไว้ได้เยอะ

กลุ่มที่ 3. เกลียดรัฐบาลและต้องการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ นี่คือกลุ่มที่เป็นที่มาของม็อบ ส่วนใหญ่เป็นเยาวชน พูดให้เห็นภาพคือเกรต้า ธันเบิร์กเวอร์ชั่นไทยแลนด์ ออกมาด่าผู้ใหญ่ไล่รัฐบาลเพราะห่วงอนาคตตัวเองในอีก 5-10 ปีข้างหน้า กลัวประเทศพังจนไม่เหลืออะไรในยุคตัวเอง เด็กกลุ่มนี้ไม่ยึดมั่นในตัวบุคคลแต่มองที่อุดมการณ์เป็นหลัก ผู้ใหญ่ชอบคิดว่าโดนคนยุแยงโดนนักการเมืองปั่นหัวแต่จริงๆเด็กกลุ่มนี้ก้าวข้ามทักษิณ ธนาธรไปตั้งนานแล้ว ทุกคนอินและเทคแอคชั่นเพราะมองว่าการเมืองคือเรื่องของทุกคน และการเปลี่ยนแปลงวันนี้มีผลกับอนาคตที่ดีขึ้นของพวกเขา

กลุ่มนี้ต้องการขับไล่ประยุทธ์เพราะเป็นนายกที่มาจากรัฐประหาร ชนะเลือกตั้งด้วยการแก้กฎหมายแก้รัฐธรรมนูญเอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเอง เช่น มี สว เข้ามาช่วยโหวต เหนือกว่าความช่วยเหลือจากพวกพ้องคือนายกไม่มีความรู้ความสามารถที่จะนำพาประเทศได้ เศรษฐกิจพัง ประเทศเดินถอยหลัง ให้โอกาสมา 6 ปีแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น 

ส่วนแนวคิดที่อยากปฎิรูปสถาบันกษัตริย์เพราะเห็นถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม เพราะแม้สถาบันกษัตริย์จะอยู่เหนือการเมืองบนรัฐธรรมนูญ แต่ความเป็นจริงคือสามารถใช้อำนาจชี้เป็นชี้ตายทุกคนในประเทศได้ ห้ามพูดห้ามวิจารณ์ห้ามสงสัยทุกอย่าง แล้วในขณะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานค่อนประเทศ แต่เงินภาษีก็ยังถูกใช้อย่างไม่เห็นความลำบากของประชาชน ลำพังแค่ค่ารถนำขบวนเข้าออกสนามบินมิวนิคก็สูงถึง 2 แสนยูโรแล้วภายใน 6 เดือน เค้ามองว่าเงินจำนวนนี้นำไปพัฒนาโรงพยาบาล ระบบขนส่งมวลชน พี่ตูนไม่ต้องเหนื่อยวิ่งไปอีกหลายปี 

คนกลุ่มนี้บางคนไม่เชื่อและไม่ศรัทธากับสถาบันกษัตริย์ตั้งแต่ต้นดังนั้นพูดอะไรไปก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเขาได้ แต่ที่น่าแปลกใจและตกใจคือมีคนจำนวนมากที่เคยเป็นกลุ่ม 2 หรือแม้แต่ 2.1 แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นกลุ่มนี้เพราะผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า 'การเบิกเนตร' มา 

เบิกเนตรเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนที่เคยศรัทธาสถาบันกษัตริย์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลก่อน) แต่เริ่มตั้งคำถามและหาคำตอบจากแหล่งต่างๆด้วยตัวเองจนคิดว่าสิ่งที่เคยเชื่อ เคยได้รับการบอกเล่ามาตลอดชีวิตเป็นสิ่งไม่จริง ตย.ของเรื่อง (ที่คาดว่า) ทำให้คนเบิกเนตรมีมากมาย ถ้าใครอยากรู้ก็ลองไปค้นหาอ่านได้ไม่ยากเกินกำลังเพราะถ้าลงโพสจะยาวไปถึงพรุ่งนี้ แต่หัวข้อนึงที่มีการถกกันอย่างกว้างขวางคือ ถ้าสิ่งที่สถาบันกษัตริย์ทำมีแต่ความดี ทำเพื่อประชาชนมาตลอดจริงๆอย่างที่รับรู้มาตลอด 60 ปีเหตุใดจึงต้องกลัวการวิจารณ์ เหตุใดการพูดถึงจึงผิดกฎหมาย เหตุใดจึงต้องใช้ ม.112 เพื่อควบคุมประชาชน

ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเรียกร้องให้เกิดการปฎิรูปสถาบันกษัตริย์แบบราชวงศ์อังกฤษที่ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตั้งคำถามถึงการใช้จ่ายภาษีถ้าไม่ถูกต้องได้ รวมถึงยกสถาบันกษัตริย์ให้อยู่เหนือกฎหมายและละเว้นจากการเมืองอย่างแท้จริง 

คนกลุ่มนี้มีแนวคิดที่เกี่ยวกับสถาบันฯต่างเลเวลกัน ส่วนใหญ่ยังมีแนวคิดที่จะมีระบอบการปกครองแบบเดิมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ก็มีไม่น้อยที่มองเห็นว่าประมุของค์ปัจจุบันไม่อยู่ประเทศไทย และยังมีข่าวเรื่องการใช้จ่ายภาษีมหาศาลจึงมีแนวคิดถึงระบอบสาธารณรัฐตามข่าวที่เราได้ยินกันมา จริงๆแล้วคนที่อยากเปลี่ยนไปถึงระบอบสาธารณรัฐไม่ค่อยกล้าพูดหรือออกตัวแรงมาก แต่เมื่อรัฐเริ่มใช้ความรุนแรงกับม็อบมือเปล่าและตัดสิทธิพื้นฐานในการแสดงออก เลยยิ่งทำให้คนเกลียดชังระบอบเดิมและยิ่งเพิ่มจำนวนคนที่คิดถึงระบอบนี้มากยิ่งขึ้น

คน 3 กลุ่มนี้มีแนวคิดที่แตกต่างและเริ่มห่างกันเรื่อยๆ คนไทย 70 ล้านคนอยู่ใน 3 กลุ่มนี้แหละ คนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่ไบแอส ไม่อยู่กลุ่มไหนเลยคือบูลชิต เป็นกลางไม่มีจริงในบริบทนี้ มีแค่ยอมรับและกล้าแสดงออกมาหรือไม่เท่านั้น 

มีโอกาสที่จะเปลี่ยนคนกลุ่ม 3 ไปเป็นกลุ่ม 2 หรือ 2.1 ได้อีกไหม? คำตอบคือยากมากกกก ยากจนแทบเป็นไปไม่ได้แล้วเผลอๆจะมีคนกลุ่ม 2 ย้ายมาเป็นกลุ่ม 3 มากขึ้นด้วยซ้ำถ้ายังใช้ความรุนแรงและขูดรีดภาษีไปเรื่อยๆในขณะที่ประชาชนอดอยาก กลุ่ม 3 เค้าไม่ได้เติบโตมากับข่าว 2 ทุ่ม เค้าหาข้อมูลหลายทาง ตั้งคำถามและหาคำตอบกับทุกอย่างที่เค้าอยากรู้ เค้าไม่ได้อินกับสิ่งที่คนกลุ่ม 1 กลุ่ม 2 ศรัทธา ดังนั้นการบังคับให้เค้าศรัทธา เช่น การยืนในโรงหนังจึงใช้กับพวกเค้าไม่ได้อีกแล้ว 

ทางจบของวิกฤตินี้คือต้องเจรจากันอย่างเดียว ให้ทุกฝ่ายมีทางลง ม็อบไม่มีทางได้ทุกข้อ และรัฐบาลไม่มีทางปราบไปเรื่อยๆโดยหวังลมๆแล้งๆว่าทุกอย่างจะสงบและกลับไปเป็นเหมือนเดิม

รัฐบาลและทุกคนต้องยอมรับอย่างนึงว่าประเทศไทยไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง และความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้อีกอย่างคือแม้สองเลขนี้จะมาต่อกัน แต่ ๙ กับ ๑๐ ก็ยัง...เป็นคนละเลขกันอยู่ดี 

ปล. ถึงจะเห็นต่างแต่คน 3 กลุ่มนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นวงโคจรของสังคมที่เราอยู่ คนเหล่านี้เป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่เราแคร์ การเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงแต่สายสัมพันธ์ระหว่างเรายังต้องแข็งแรง ถ้ามีโมเม้นท์ที่โกรธในชุดความคิดของเค้ามากๆ อย่าลืมนึกถึงมิตรภาพ นึกถึงความดีของคนรอบตัวเราให้มากๆนะคะ ♥️

เราจะผ่านมันไปได้...แม้จะไม่รู้ว่าเมื่อไรและด้วยวิธีไหนก็ตาม

#VacayASAP

------------------------------------------------------------------------------

Tuesday, October 20, 2020

พวกรัฐบาลประยุทธ ใครพูดอะไรไว้ก่อนได้อำนาจ ดูหน้าพวกนี้เอาไว้ สับปลับขนาดไหน

 

พวกรัฐบาลประยุทธ ใครพูดอะไรไว้ก่อนได้อำนาจ ดูหน้าพวกนี้เอาไว้ สับปลับขนาดไหน

ประวิตร วงษ์สุวรรณ / หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ​

อนุทิน ชาญวีรกูล / หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ / หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

สุเทพ เทือกสุบรรณ / สมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย


https://youtu.be/4gU9PUl5-c8

------------------------------------------------------------------------------------

Friday, August 14, 2020

ขับรถมินิคูเปอร์ ออกจากบ้าน โดยไม่ได้ดู ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ / Driving the Mini Cooper from the house without looking, the results will be like this.

 

อุทาหรณ์ การขับรถออกจากบ้าน

ถึงแม้จะขับรถออกจากหน้าบ้าน ในหมู่บ้านที่แทบจะไม่มีการจราจร จากรถภายนอกหมู่บ้านเลย  ต้องจอดดูรถทางตรงทั้งซ้ายขวาก่อน ทุกครั้ง เพราะอาจมีรถที่วิ่งทางตรงด้วยความเร็วมาชนได้

Driving the Mini Cooper from the house without looking, the results will be like this.

An illustration of driving a car out of the house, even if driving out from the house in villages where there is almost no traffic we must always park and look at the car on the left and right because there may be a car that runs in a straight way with speed.

----------------------------------------------------------------

Saturday, March 14, 2020

ข้อแนะนำสำหรับการป้องกันไวรัสต่างๆ







Tuesday, March 3, 2020

จีพีเอสพาสาวแหกโค้งเสียชีวิต แต่ช่วยพบศพคนหาย


จีพีเอสพาสาวแหกโค้งเสียชีวิต แต่ช่วยพบศพคนหาย


จีพีเอสพาไป จยย.แหกโค้งพบศพคนหาย | 03-03-63 | ข่าวเย็นไทยรัฐ

เชื่ออาถรรพ์จีพีเอสพาไปพบศพ | 03-03-63 | ไทยรัฐนิวส์โชว์

GPSผีบอกพา 2คนแหกโค้ง ผงะเจออีกศพตายนับเดือน เมียชี้ลางลูกฝันขี่รถพังกลับบ้าน | 
ทุบโต๊ะข่าว | 03/03/63

Sunday, March 1, 2020

โรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า หรือ "โควิด-19" (Covid-19)


โรคติดเชื้อไวรัส โคโรน่า หรือ "โควิด-19" (Covid-19)
(เอกสารจาก กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองบางคูวัด)



Saturday, February 22, 2020

โคโรน่าไวรัส 2019 (COVID-19)



นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : โคโรน่าไวรัส 2019 (COVID-19) ตอนนี้เรารู้อะไรบ้าง?
Sat, 2020-02-22 12:57 -- hfocus

ธีระ วรธนารัตน์
ผ่านมาเกือบ 3 เดือนกับการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่สร้างความกังวลใจให้กับคนทั้งโลก
การระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ครั้งนี้จะไม่ใช่โรคสุดท้ายและครั้งสุดท้าย ที่สังคมไทยและสังคมโลกจะต้องเผชิญ
แต่ความรู้ และทักษะในการประพฤติปฏิบัติในการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อโรคนี้นั้น จะสามารถใช้สำหรับโรคติดเชื้อชนิดอื่น ๆ ที่เราจะต้องเผชิญหน้าในอนาคตได้
เอาล่ะ...ลองมาดูกันว่า 3 เดือนที่ผ่านมานี้ เรารู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้างเกี่ยวกับโรคใหม่นี้ ? บอกเลยว่าความรู้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากทีเดียว
Q1: การระบาดของโรคนี้เริ่มมาจากไหน?
A1: แม้จะมีรายงานผู้ป่วยรายแรกตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2019 แต่ก็ยังไม่มีความกังวลนัก จนกระทั่งเริ่มมีการรายงานจากหน่วยงานสาธารณสุขของเมือง Wuhan ประเทศจีน ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2019 ว่ามีผู้ป่วยที่เป็นปอดบวมจากการติดเชื้อไวรัส ถึง 27 ราย โดยมีคนอาการหนักถึง 7 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติไปสัมผัสกับสัตว์ป่าต่าง ๆ ในตลาดขายส่งอาหารทะเลในเมือง Wuhan ซึ่งมีการขายสัตว์นานาชนิด รวมทั้งสัตว์ปีก งู ค้างคาว
จากการศึกษาต่อมา พบว่า ไวรัสที่ก่อเหตุคือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน และตั้งชื่อโดยองค์การอนามัยโลกว่า 2019-nCoV หรือ 2019 novel Coronavirus และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "COVID-19" จนถึงปัจจุบัน
Q2: ไวรัส COVID-19 นี้มีลักษณะอย่างไรบ้าง?
A2: COVID-19 นี้จัดเป็นไวรัสตัวที่ 7 ของตระกูลโคโรน่าไวรัส และสามารถติดเชื้อสู่คนได้เฉกเช่นเดียวกับไวรัสพี่ ๆ ของตระกูลนี้ เช่น เมอร์ส (MERS) และซาร์ส (SARS) ที่เคยระบาดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
จากการศึกษาสายพันธุกรรมของไวรัสนี้ พบว่าคล้ายคลึงกับไวรัสซาร์สถึง 70%
ข้อมูลที่มีอยู่บ่งชี้ว่า ไวรัสตัวนี้น่าจะมาจากค้างคาว เนื่องจากมีพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับโคโรน่าไวรัสในค้างคาวถึง 96% อย่างไรก็ตามคาดว่าไวรัสนี้น่าจะมีการผสมกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์อื่น โดยมีแหล่งรังโรคที่น่าสงสัยคือ งู ทั้งนี้ในการศึกษาต่อมา พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ไวรัสนี้น่าจะไปอาศัยอยู่ได้อีก คือ ค้างคาว และตัวมิ้งค์ โดยรูปแบบการติดเชื้อของไวรัสนี้ในค้างคาวและตัวมิ้งค์นั้นคล้ายคลึงกับการติดเชื้อในคน
Q3: ไวรัสนี้ติดกันง่ายไหม?
A3: การจะตอบว่าติดง่ายหรือไม่นั้น มักจะวัดกันด้วยจำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ติดเชื้อจากการได้รับเชื้อจากคนที่ติดเชื้อเดิมในช่วงเวลาที่เค้าสามารถแพร่ได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reproduction number (R0)
มีหลายการศึกษา ที่ทำการคาดประมาณจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสนี้ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า คนติดเชื้อคนนึงจะสามารถแพร่ไปให้คนอื่นได้ราว 2-6 คน
ตามทฤษฎีแล้ว ถ้า R0 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 มักจะไม่กังวลว่าจะเกิดการระบาดของโรค ดังนั้นไวรัสนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดการระบาดขยายตัวไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการควบคุมป้องกันการแพร่อย่างทันท่วงที และจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงเห็นสถิติคนติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ
จากสถานการณ์ที่ผ่านมา พบว่าจำนวนคนติดเชื้อโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าทุกสัปดาห์
Q4: ติดเชื้อ COVID-19 นี้ได้อย่างไร?
A4: ลักษณะการแพร่เชื้อไวรัสนี้ เหมือนกับไวรัสอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ นั่นคือ ผ่านการไอ จาม มีฝอยละอองของน้ำมูกหรือเสมหะที่มีไวรัสอยู่ รวมถึงการที่ไวรัสปนเปื้อนกับมือและสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พอคนอื่นมาสัมผัสก็มีโอกาสที่ไวรัสติดไปได้ แม้จะมีรายงานว่าพบไวรัสในอุจจาระ แต่การติดเชื้อก็จะมีโอกาสน้อยกว่า เพราะต้องเป็นสถานการณ์ที่มีการกระเด็นของน้ำอุจจาระและมีการสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจ
Q5: ไวรัสนี้ติดเชื้อเข้าสู่ปอดได้อย่างไร?
A5: จากการศึกษาพบว่า ไวรัสนี้น่าจะเข้าสู่เซลล์ปอดผ่านทางตัวรับที่เรียกว่า Angiotensin-converting enzyme 2 (ACE2) receptor
ที่น่าสนใจคือ เซลล์ปอดของคนเอเชียมีจำนวนตัวรับนี้มากกว่าคนตะวันตกผิวขาว และคนแอฟริกัน-อเมริกัน ถึง 5 เท่า นั่นอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้ของคนเอเชียที่มากกว่าคนตะวันตก
Q6: โรคนี้รุนแรงไหม?
A6: จากข้อมูลที่มีอยู่นั้น พบว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสนี้ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง มีเพียงประมาณ 15% ที่มีอาการรุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 2%
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวนั้นยังไม่นิ่ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จึงรู้เพียงว่า ติดค่อนข้างง่าย แม้อัตราเสียชีวิตไม่มาก แต่ต้องป้องกันอย่างจริงจัง
Q7: ทุกคนควรป้องกันอย่างไรดี?
A7: กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังคงเป็นคาถาป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ ที่ควรนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
หน้ากากอนามัยต้องใส่หรือไม่? งานวิจัยมากมายพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจควรใช้ เพราะจะป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ราว 80%
ส่วนคนปกติจะต้องใส่ไหม? มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะป้องกันไวรัสที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ต้องใช้หน้ากากประเภท N95 แต่ใส่แล้วจะอึดอัด หายใจลำบาก และมีราคาแพง นอกจากนี้ยังมีปริมาณไม่มาก จึงควรเก็บไว้ใช้สำหรับสถานพยาบาลหรือสถานการณ์จำเป็น
ส่วนการใช้หน้ากากอนามัยสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เจ็บป่วยนั้น มีงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นไวรัสเช่นกัน พบว่าไม่ได้ช่วยให้ลดอัตราการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ได้แนะนำให้ใช้กันในชีวิตประจำวันเพื่อหวังผลในการป้องกันไวรัส
วัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้ยังไม่มี และต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกนานพอสมควร ดังนั้นจึงเน้นเรื่องการปฏิบัติตนเป็นหลัก
Q8: มีวิธีมาตรฐานในการรักษาหรือยัง?
A8: จนถึงตอนนี้ กลางเดือนกุมภาพันธ์ มีโครงการที่พยายามศึกษาวิธีรักษาโรคนี้ในประเทศจีนกว่า 80 โครงการ ทั้งการใช้ยาแผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก รวมถึงในประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคนี้ ก็กำลังศึกษากันอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่มีการรักษาใดที่จะใช้เป็นมาตรฐานได้
Q9: ท้ายสุด อยากจะสื่ออะไรไว้กับทุกคน?
A9: "...กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ...และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม"
...หากไม่สบาย ควรพักอยู่กับบ้าน ไม่ตะลอนข้างนอกหากไม่จำเป็น...
...หากจะไอ จะจาม ควรใช้ต้นแขนป้องปากและจมูก และใส่หน้ากากอนามัย ไม่ใช่ทำแบบที่เห็นในข่าวว่า ถอดหน้ากากออกมาเพื่อไอและจามเพราะกลัวหน้ากากเปรอะ...
ในยุควิกฤติเช่นนี้ ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคมนั้นสำคัญมากครับ
ด้วยรักต่อทุกคน
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ้างอิง
1. Cheng ZJ et al. 2019 Novel Coronavirus: where we are and what we know. Infection. 2020 Feb 18. doi: 10.1007/s15010-020-01401-y. [Epub ahead of print] Review.
2. Maxman A. More than 80 clinical trials launch to test coronavirus treatments. Nature. 2020 Feb;578(7795):347-348. doi: 10.1038/d41586-020-00444-3.
3. Watts CH et al. Coronavirus: global solutions to prevent a pandemic. Nature. 2020 Feb;578(7795):363. doi: 10.1038/d41586-020-00457-y.

Sunday, January 26, 2020

Coronavirus COVID-19 Global Cases by Johns Hopkins CSSE


แผนที่ การระบาดของไวรัสโคโรนาทั่วโลก แบบ Real-time

Coronavirus COVID-19 Global Cases by Johns Hopkins CSSE



Saturday, January 11, 2020

จุดแข็ง - จุดอ่อน ของประเทศไทย


จุดแข็ง - จุดอ่อน ของประเทศไทย

#ท่านทูตประเทศแถบสแกนดิเนเวีย,นอร์เวย์,สวีเดน, ฟินแลนด์,เดนมาร์ก
วิเคราะห์ให้ฟังว่า
จุดแข็ง - จุดอ่อน ของประเทศไทย
และบทสรุปที่น่าคิด

**จุดแข็งของประเทศไทย **

ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ๆดีที่สุดในทุกๆ ด้าน คือ

1.ที่ตั้ง: จะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน ญี่ปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน >> ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพร ที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง

2.มีสภาพพื้นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศก็สะดวกยิ่งนัก

3.บนผืนแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้งหอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืดและในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร และพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัว และคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว

4.ใต้ผืนดินก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ มากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเป็กหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป

5.เรามีภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกิน ที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี

6.เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย

7.ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเล ที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น

8.ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรง ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอนาโด หรือใต้ฝุ่น

9.เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดอีกด้วย

10.เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ มีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย

👉ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อ ดังที่กล่าวมา ดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ ถือได้ว่าโชคดีไม่ต่างจากได้เกิดบนสววรค์

👉คนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไขได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง รำรวย กันถ้วนหน้า

⚠️แต่ในความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม


จุดอ่อน ของประเทศไทย

❎มีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูล ที่เป็น
🎠1.ขุนทหาร
🚔2.ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
🎭3.นักการเมืองใหญ่
💰4.นายทุนระดับชาติเท่านั้นที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชน อย่างล้นเหลือ ราวกับเทพยดาเดินดินก็ไม่ปาน

😢แต่คนส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจน ที่นับวันพวกเขายิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง

🌳ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทำเกษตรในแม่น้ำลำธาร เต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือเนื่องจากสารพิษปนเปื้อนในน้ำทำให้การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพง แทบทั้งหมด

🏥มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมีที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายทุกวัน เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย

⚰️ทั้งไม่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฏหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย

💲การทุจริตคอรัปชั่นยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงจะโกง บ้านเมืองเข้าสู่ยุค "มือใครยาว สาวได้ สาวเอา" อย่างแท้จริง

คือ ชนชั้นนำของไทย ตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลัก "รัฐศาสตร์มาร" ในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง "คดในข้อ งอในกระดูก" "มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ" ทำให้ประชาชนตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ "โง่-เลว-จน-เจ็บ" เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย

**ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ ของสังคมไทย **

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกๆ ด้าน , ปัญหาความยากจน, หนี้สิน, แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ
แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เติบโต และขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้าย ที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครอง ทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวางการแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหา และปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้น ทั้งสิ้น

↗️วิธีการทำให้ประชาชน "โง่"
โดย จัดการที่หลักสูตรการศึกษา ทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาตร์ วีรชนที่เป็นสามัญชน ไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ

↙️วิธีการทำให้ประชาชน "เลว" เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยจัดการที่การศึกษา
⬅️จะไม่ฝึกการมีวินัย
⬅️ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไม่คิดพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อความเป็นมนุษย์
⬅️ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน-กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด
⬅️เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า

🚸ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน
⛔️แย่ถึงขนาดว่า ถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ "ปกป้องการคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติกันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้ แย่ที่สุดในโลก ได้อย่างไร ?

🚷วิธีการทำให้ประชาชน "จน" แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆ ที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม
🚫เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิทยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยการกีฬาแทนซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ
⬇️ปล่อยให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร
↘️สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงเพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ
✔️แค่นี้ เกษตรกรก็ล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืช-สัตว์ เครื่องจักรกกลการเกษตร ฯลฯ
✔️แค่นี้เกษตรกร ก็ต้องทิ้งลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำ เป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ
✔️การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ นั้น ชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว
❌อย่าลืมว่าคนสามัญชน 66 ล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอที่จะครอบครองเทคโนโลยีสูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ อย่างดีก็เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่โม้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร

✖️วิธีการทำให้ประชาชน "เจ็บ" ⚰️แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูกทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม

นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวยจนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธุ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้เติบโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละ เก้าแสนล้านบาททีเดียว

🎭หลายคนอาจไม่ทราบว่า สารพิษ เคมีเกษตรนั้นปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม
↗️แต่ จุลลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นี่คือความคดในข้อฯ ของกฎหมายที่ออกโดยคนชั้นสูง ครับ)
🚫เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก

🔜บทสรุป สั้นๆ <<🔚

ปัจจุบัน ประเทศนี้แย่ที่สุดเพราะ

1.ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ของตนและโคตรตระกูลตนฝ่ายเดียว

2.ชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครอง เป็นความวุ่นวาย และพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน!!!

🔜รอวันล่มสลาย!!!

Cr:Line KWM

--------------------------------------------------------------------------------------------------